เมนู

การพยากรณ์ปัญหานั้น ย่อมแจ่มแจ้งกะตถาคตโดยทันที ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะความที่ธรรมธาตุนั้น ตถาคตแทงตลอดดีแล้ว การพยากรณ์ปัญหานั้น
จึงแจ่มแจ้งกะตถาคตโดยทันที.

อภัยราชกุมารแสดงตนเป็นอุบาสก


[96] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อภัยราชกุมารได้กราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิด
ของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุ
จักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจำ
หม่อมฉัน ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.
จบอภยราชกุมารสูตรที่ 8

8. อรรถกถาอภัยราชกุมารสูตร1


อภัยราชกุมารสูตร

มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้ฟัง
มาแล้วอย่างนี้.
ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อภยะ เป็นพระนามของพระราชกุมาร
พระองค์นั้น. คำว่า ราชกุมาร คือเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร.

1. อรรถกถาเรียก อภยสูตร.

บทว่า วาทํ อาโรเปหิ คือ จงยกโทษในวาทะ. คำว่า เนรยิโก แปลว่า
ผู้บังเกิดในนรก. คำว่า กปฺปฏฺโฐ แปลว่า ตั้งอยู่ตลอดกัป. คำว่า อเตกิจฺโฉ
คือแม้พระพุทธเจ้าพันพระองค์ก็ไม่อาจแก้ไขได้. คำว่า โอคฺคิลิตุํ คือ
พระตถาคต เมื่อไม่อาจกล่าวแก้ปัญหาสองเงื่อนได้ ก็ไม่อาจคาย คือ นำออก
ข้างนอกได้. คำว่า อุคฺคิลิตุํ คือ เมื่อไม่อาจให้นำโทษแห่งคำถาม (ปัญหา)
ออกไปเสีย ก็ไม่อาจกลืน คือเอาเข้าไปข้างในได้. คำว่า เอวํ ภนฺเต ความว่า
ได้ยินว่า นิครนถ์คิดว่า พระสมณโคดมทำลายสาวกของเราแล้วรับเอาไว้เอง
เอาเถิด เราจะแต่งปัญหาข้อหนึ่ง ซึ่งพระสมณโคดมถูกถามแล้วจะต้องนั่งกระ-
โหย่งไม่สามารถลุกได้. นิครนถ์นั้น รับอาหารมาจากวังของอภัยราชกุมารแล้ว
ฉันโภชนะอันโอชะ แต่งปัญหาไว้เป็นอันมาก คิดว่า พระสมณโคดมเห็นโทษ
อันนี้ในปัญหานี้ในข้อนั้นก็เป็นเสนียด แล้วละการทั้งปวงเสีย ได้ครุ่นคิดปัญหา
นี้ในสมองถึง 4 เดือน. ครั้งนั้นนิครนถ์คิดว่า พระสมณโคดม ไม่อาจให้โทษ
ในการถามหรือตอบปัญหานี้ได้ ปัญหานี้ชื่อ โอวัฏฏิกสาระ (คือปัญหาวนเวียน)
ใครหนอจะรับผูกวาทะแก่พระสมณโคดมได้. ต่อแต่นั้น ก็ตกลงใจว่า อภัย-
ราชกุมารเป็นบัณฑิต เขาจักสามารถ เหตุนั้น เราจะให้อภัยราชกุมารเรียน
ปัญหานั้นแล้วให้อภัยราชกุมารเรียน. อภัยราชกุมารนั้น มีอัธยาศัยชอบยกวาทะ
จึงรับคำนิครนถ์นั้น ตรัสว่า อย่างนั้นสิ ท่านอาจารย์. ทรงเข้าพระทัยว่า
ปัญหานี้อาจารย์แต่งใช้เวลา 4 เดือน เมื่อรับเอาปัญหานี้ไปให้พระสมณโคดม
ตอบ เวลาคงไม่พอ จึงทรงดำริอย่างนี้ว่า วันนี้ไม่เหมาะ.
คำว่า โสทานิ แยกสนธิว่า เสฺว ทานิ. บทว่า อตฺตจตุตฺโถ
ความว่า เหตุไร อภัยราชกุมาร จึงไม่นิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้มากรูป. ได้ยิน
ว่า อภัยราชกุมารนั้น ทรงดำริอย่างนี้ว่า เมื่อภิกษุมากรูปนั่งกันแล้ว พระผู้-

มีพระภาคเจ้า จะทรงชักพระสูตรอื่น เหตุอื่น หรือเรื่องทำนองนั้นอย่างอื่น
มาแสดงแก่เรา ซึ่งถวายของนิดหน่อย กำลังพูดอยู่ เมื่อเป็นดังนี้ ก็จักมีแต่
การทะเลาะการวุ่นวายเท่านั้น แม้อย่างนั้น เราจักนิมนต์แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์เดียว ก็จักเกิดการติเตียนเราว่า อภัยราชกุมารนี้ ช่างตระหนี่ ทั้งที่
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตพร้อมด้วยภิกษุร้อยรูปบ้าง พันรูป
บ้างทุก ๆ วัน ก็ยังนิมนต์แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียว ก็โทษอย่างนั้น
จักไม่มี. จึงนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นองค์ที่ 4 กับภิกษุอื่นอีก 3 รูป.
คำว่า น เขฺวตฺถ ราชกุมาร เอกํเสน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนราชกุมาร ในเรื่องนี้ จะไม่มีการตอบปัญหา โดยเงื่อนเดียว.
อธิบายว่า ก็ตถาคตจะพึงกล่าวก็ดี ไม่พึงกล่าวก็ดี ซึ่งวาจาเห็นปานนั้น ตถาคต
เห็นประโยชน์โดยปัจจัยแห่งภาษิต จึงกล่าว ไม่เห็นประโยชน์ก็ไม่กล่าว. ดัง
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงย่อยปัญหาที่นิครนถ์แต่งมา 4 เดือน ด้วยพระ
ดำรัสคำเดียวเท่านั้น ประหนึ่งอสนีบาตฟาดยอดบรรพต ฉะนั้น.
สองบทว่า อนสฺสุํ นิคนฺถา แปลว่า นิครนถ์ทั้งหลายฉิบหายแล้ว.
บทว่า องฺเก นิสินฺโน โหติ คือ นั่งบนพระเพลา. แท้จริง นักพูดโดย
เลศทั้งหลาย ตั้งวาทะขึ้นมาก็นั่งจับของบางอย่าง เช่นผลไม้ หรือดอกไม้
หรือคัมภีร์ เมื่อตนชนะก็ทับถมผู้อื่น. เมื่อตนแพ้ก็แสดงกิริยาซัดส่าย (แก้
ขวย) ประหนึ่งกินผลไม้ ประหนึ่งดมดอกไม้ ประหนึ่งอ่านคัมภีร์ ฉะนั้น.
ส่วนอภัยราชกุมารนี้ ทรงดำริว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าสงครามย่ำยี
วาทะของผู้อื่น ถ้าเราชนะก็ดีไป ถ้าไม่ชนะก็หยิกเด็กให้ร้อง ต่อนั้น เราก็จัก
พูดว่า ดูซิ ท่านผู้เจริญ เด็กนี่ร้อง ลุกขึ้นก่อน ภายหลังค่อยรู้กัน เพราะ
ฉะนั้น จึงทรงพาเด็กมาประทับนั่ง. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นนักพูดประ-

เสริฐกว่าอภัยราชกุมารพันเท่าแสนเท่า ทรงพระพุทธดำริว่า จักทรงทำเด็กนี้
แหละให้เป็นข้ออุปมา ทำลายวาทะของอภัยราชกุมารนั้นเสีย จึงตรัสว่า
กึ มญฺญสิ ราชกุมาร เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุเข อาหเรยฺย แปลว่า ตั้งไว้ในปาก.
คำว่า อาหเรยฺยสฺสาหํ แก้เป็น อปเนยฺยํ อสฺส อหํ. บทว่า อาทิเกเนว
แปลว่า ด้วยประโยคแรกเท่านั้น. บทว่า อภูตํ แปลว่า มีใจความไม่เป็น
จริง. บทว่า อตจฺฉํ แปลว่า ไม่เปล่าประโยชน์. บทว่า อนตฺถสญฺหิตํ
แปลว่า ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่อาศัยความเจริญ. บทว่า อปฺปิยา
อมนาปา แปลว่า ไม่น่ารัก ไม่น่าพอใจ. พึงทราบความในที่ทุกแห่ง โดย
นัยนี้นี่แล. บรรดาวาจาสองฝ่ายนั้น ในฝ่ายวาจาไม่เป็นที่รัก วาจาแรกที่เป็น
ไป ตู่คนที่ไม่ใช่โจรว่าโจร ตู่คนที่ไม่ใช่ทาสว่าทาส ตู่คนที่ไม่ใช่ผู้ประกอบ
กรรมชั่วว่า คนประกอบกรรมชั่ว ตถาคตไม่กล่าวาจานั้น วาจาที่สองเป็นไป
ด้วยอำนาจวาจาที่ชี้ผู้เป็นโจรเท่านั้นว่า ผู้นี้โจร ดังนี้เป็นต้น ตถาคตไม่
กล่าววาจาแม้นั้น บัดนี้พึงทราบวาจาที่สาม คือวาจาที่กล่าวด้วยมุ่งประโยชน์
เป็นเบื้องหน้า ด้วยมุ่งธรรมเป็นเบื้องหน้า ด้วยมุ่งสั่งสอนเป็นเบื้องหน้าแก่
มหาชนอย่างนี้ว่า เพราะความที่ท่านไม่ได้ทำบุญไว้ ท่านจึงยากจน มีผิว-
พรรณทราม มีอำนาจน้อย แม้ดำรงอยู่ในโลกนี้แล้วก็ยังไม่ทำบุญอีก ใน
อัตภาพที่สอง ท่านจะพ้นจากอบาย 4 ได้อย่างไร. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
กาลญฺญู ตถาคโต ความว่า ตถาคตเป็นผู้รู้กาล เพื่อประโยชน์แก่การ
พยากรณ์วาจานั้น ในการพยากรณ์ที่สามนั้น อธิบายว่า ตถาคตรู้กาลที่ถือ
เอาของที่ควรถือกาลที่ยอมรับของมหาชนแล้วจึงพยากรณ์ ในฝ่ายวาจาเป็นที่รัก
วาจาแรกชื่อว่า ถ้อยคำที่ไม่ควรตั้งไว้ ถ้อยคำที่ไม่ควรตั้งไว้นั้นพึงทราบอย่างนี้.

ดังได้ยินมา ชายแก่ชาวบ้านคนหนึ่งมายังพระนคร ดื่มเหล้าอยู่ใน
โรงเหล้า พวกนักเลงเหล้าเป็นอันมากต้องการจะลวงแก จึงยืนใกล้ที่แกดื่ม
เหล้า แล้วก็ดื่มเหล้ากับแก คิดในใจว่า จะเอาทั้งผ้านุ่งผ้าห่มของชายแก่คนนี้
ทั้งสิ่งของในมือให้หมด จึงทำกติกาสัญญากันว่าเราจะเล่าเรื่องที่ประจักษ์แก่ตน
คนละเรื่อง ผู้ใดพูดว่าไม่จริงหรือไม่เชื่อเรื่องที่พูด เราจะเอาผู้นั้นไปเป็นทาส.
จึงถามชายแก่คนนั้นว่า ถูกใจไหมล่ะ พ่อลุง. ชายแก่ตอบว่า ตกลงพ่อหนุ่ม.
นักเลงเหล้าคนหนึ่งจึงเล่าว่า พ่อมหาจำเริญ เมื่อข้าอยู่ในท้องแม่ข้า
แม่แพ้ท้องอยากจะกินลูกมะขวิด แม่หาคนนำลูกมะขวิดมาไม่ได้ จึงสั่งข้าไป
ข้าขึ้นต้นไม้ไม่ได้ก็จับเท้าตัวเองโยนขึ้นไปบนต้นไม้เหมือนกับโยนค้อน แล้ว
ก็ไต่จากกิ่งโน้นมากิ่งนี้เก็บลูกมะขวิด แต่แล้วก็เกิดลงไม่ได้ ต้องกลับไปบ้าน
เอาบันไดมาพาดจึงลงได้ แล้วไปหาแม่ให้ลูกมะขวิดแก่แม่ แต่ว่าเจ้าลูกมะขวิด
เหล่านั้นมันใหญ่โตขนาดตุ่ม แต่นั้น แม่ข้าก็นั่งบนที่นั่งอันหนึ่ง กินลูกมะขวิด
เข้าไปตั้ง 60 ลูกถ้วน ในจำนวนลูกมะขวิดที่ข้านำมาด้วยสะเอวข้างเดียว ลูก
มะขวิดที่เหลือ ๆ ก็เป็นของเด็กของคนแก่ในบ้าน ของตระกูล เรือนของเรา
ขนาด 16 ศอก. ขนสิ่งของเครื่องใช้ที่เหลือออกไป ลูกมะขวิดก็เต็มไปจนถึง
หลังคา ส่วนที่เกินไปจากหลังคา ก็กองไว้ใกล้ประตูเรือน มันสูง 80 ศอก
เหมือนภูเขาเลากา ท่านผู้เจริญ เชื่อเรื่องเช่นนี้ไหม.
ชายแก่ชาวบ้านนั่งนิ่ง ถูกพวกนักเลงถาม เมื่อจบเรื่องก็ตอบว่า มัน
เป็นได้อย่างนั้น พ่อหนุ่ม แว่นแคว้นออกใหญ่โต ข้าเชื่อซิ เพราะแว่นแคว้น
มันใหญ่. เมื่อเหล่านักเลงเหล้าที่เหลือเล่าเรื่องที่ปราศจากเหตุคล้าย ๆ กัน
เหมือนที่นักเลงเหล้าคนนั้นเล่าแล้ว ชายแก่ชาวบ้านก็บอกว่า ฟังข้าบ้างพ่อหนุ่ม
ตระกูลของพวกเจ้ายังไม่ใหญ่ดอก ตระกูลของข้าสิใหญ่จริง ๆ ไร่ของข้าก็ใหญ่

กว่าไร่ไหน ๆ กลางไร่ฝ้ายที่เนื้อที่หลายร้อยกรีสนั้น มีต้นฝ้ายต้นหนึ่งสูงถึง 80
ศอก ขนาดใหญ่ มันมีกิ่งอยู่ 5 กิ่ง ทั้ง 5 กิ่งนั้น กิ่งอื่น ๆ ไม่ติดลูก กิ่ง
ที่อยู่ด้านทิศตะวันออกมีอยู่ลูกเดียว ลูกโตเท่าตุ่มขนาดใหญ่ ลูกนั้นมี 6 พู
ฝักฝ้าย 6 ฝัก ก็ผลิออกในพูทั้ง 6 นั้น ข้าจึงให้เขาแต่งหนวด แล้วอาบน้ำ
ชะโลมตัวเองแล้วก็ไปไร่ ยืนดูดอกฝ้ายเหล่านั้นผลิแตกออกแล้ว จึงยื่นมือเข้า
ไปจับ เจ้าฝักฝ้ายเหล่านั้นมีเรี่ยวแรงกลายเป็นทาสไป เจ้าพวกทาสเหล่านั้น
ก็ผละหนีข้าไปทีละคน ข้าไม่พบทาสเหล่านั้นจนบัดนี้ วันนี้ข้าพบพวกเจ้าแล้ว.
ก็ระบุชื่อว่า เจ้าชื่อนันทะ เจ้าชื่อปุณณะ เจ้าชื่อวัฑฒมานะ เจ้าชื่อฉัตตะ
เจ้าชื่อมังคละ เจ้าชื่อเหฏฐิยะ แล้วก็ลุกขึ้นจับพวกนักเลงเหล้าที่ผมจุกแล้ว
ยืนขึ้น นักเลงเหล้านั้นไม่สามารถแม้แต่จะปฏิเสธว่า พวกข้าไม่ใช่ทาส.
ครั้งนั้น ชายแก่ชาวบ้านคนนั้น ก็คว้าตัวนักเลงเหล่านั้นไปขึ้นโรงศาล ยก
ลักษณะทาสขึ้นฟ้อง ทำเขาให้ตกเป็นทาสใช้สอยไปตลอดชีวิต. ตถาคตไม่
กล่าวถ้อยคำเห็นปานฉะนี้.
วาจาที่สอง เป็นเถนวาจา (วาจาของขโมย) สำหรับคนอื่นมีประการ
ต่าง ๆ เพราะเห็นแก่อามิส หรือเพราะอำนาจความอยากดื่มเหล้าเป็นต้น และ
เป็นดิรัจฉานกถา ที่เป็นไปโดยนัยว่า เรื่องโจร เรื่องพระราชา เป็นต้น
ตถาคตไม่กล่าววาจาแม้นั้น. วาจาที่สามเป็นกถาที่อิงอาศัยอริยสัจ ซึ่งเหล่า
บัณฑิตพึงแม้ร้อยปีก็ไม่รู้สึกอิ่ม. ดังนั้น ตถาคตจึงไม่กล่าววาจาจริงทั้งที่ไม่เป็น
ที่รัก ทั้งที่เป็นที่รัก กล่าวแต่วาจาที่สาม. ไม่ให้เวลาที่ควรจะกล่าววาจาที่สาม
ล่วงเลยไป. พึงทราบว่า ข้ออุปมาด้วยเรื่องเด็กหนุ่มอันมาแล้วแต่หนหลัง.
ในที่นั้นหมายเอาวาจาที่ไม่น่ารักวาจาที่สาม. คำว่า อุทาหุ ฐานโสเวตํ ความ
ว่า อภัยราชกุมารทูลถามว่า หรือว่าข้อนั้นปรากฏแก่พระตถาคตเจ้าในทันที

ทันใด ด้วยพระญาณที่เกิดขึ้นแล้วฉับพลัน. คำว่า ปญฺญาโต แปลว่า เขา
รู้แล้ว เขารู้กันทั่วแล้ว ปรากฏแล้ว. คำว่า ธมฺมธาตุ หมายถึงสภาวะแห่ง
ธรรม คำนี้เป็นชื่อของพระสัพพัญญุตญาณ. แท้จริง พระสัพพัญญุตญาณนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าแทงตลอดด้วยดีแล้ว คือ อยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงประสงค์ข้อใด ๆ ข้อนั้น ๆ ทั้งหมด
ก็แจ่มแจ้งฉับพลันทันที. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้น ก็พระธรรมเทศนา
นี้จบลงด้วยอำนาจแห่งเวไนยบุคคลแล

จบอรรถกถาอภยราชกุมารสูตรที่ 8

9. พหุเวทนิยสูตร


ว่าด้วยช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ


[97] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนาราม ของอนาถ-
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น นายช่างไม้ชื่อ ปัญจกังคะ
เข้าไปหาท่านพระอุทายี นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

กถาว่าด้วยเวทนา


[98] นายช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้ว
ได้กล่าวกะท่านพระอุทายีว่า ท่านพระอุทายี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนา
ไว้เท่าไร ท่านพระอุทายีตอบว่า ดูก่อนคฤหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนา
ไว้ 3 ประการ คือสุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1 อทุกขมสุขเวทนา 1 ดูก่อน
คฤหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนาไว้ 3 ประการนี้แล.
ป. ข้าแต่ท่านพระอุทายี พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสเวทนาไว้ 3
ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนาไว้ 2 ประการ คือ สุขเวทนา 1 ทุกข-
เวทนา 1 เพราะอทุกขมสุขเวทนาพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสุขอันสงบ อัน
ประณีตแล้ว.
ท่านพระอุทายีได้กล่าวเป็นครั้งที่ 2 ว่า ดูก่อนคฤหบดี พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าไม่ได้ตรัสเวทนาไว้ 2 ประการ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนาไว้ 3
ประการ คือสุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1 อทุกขมสุขเวทนา 1 ดูก่อนคฤหบดี
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนาไว้ 3 ประการนี้แล.